วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2557

เคนต์ (Kent)

Kent เป็นเขตการปกครองที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากลอนดอนประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ โดยรถไฟ ถือเป็นเขตนึงที่มีความเก่าแก่ของสหราชอาณาจักร นอกจากความเรียบง่าย สวยงามและกลิ่นอายของเมืองเก่าแล้ว ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของสวนกล้วยไม้และดอกฮอพ ทำให้ Kent นั้นได้รับการขนานนามว่า “The Garden of England”
สถานที่เที่ยวใน Kent
Leeds Castle
Leeds Castle เป็นปราสาทที่มีความเก่าแก่ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1119 หรือกว่า 900 ปีที่แล้ว ถึงแม้ว่า Leeds Castle จะเป็นปราสาทที่มีขนาดไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับปราสาทอื่นๆ เช่น Windsor Castle หรือ Hampton court Palace แต่ด้วยความสวยงามของปราสาทที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาปและบรรยากาศโดยรอบ ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยป่า และดอกไม้ ทำให้ Leeds Castle ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้เดินทางมาชมได้ไม่ยาก

สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ (United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland)

ข้อมูลทั่วไป

ชื่อทางการ


สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ (United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland)
ที่ตั้งตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปยุโรป มีหมู่เกาะรวมไปถึงหนึ่งในหกของเกาะในไอร์แลนด์ที่อยู่ระหว่างทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก และทะเลเหนือ ประเทศตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส
พื้นที่244,820 ตารางกิโลเมตร
อาณาเขต360 กิโลเมตร มีชายแดนติดกับประเทศไอร์แลนด์เพียงประเทศเดียว
สภาพภูมิประเทศส่วนมาเกเป็นเนินเขาที่ขรุขระ และเนินเขาเตี้ยๆ และมีที่ราบลูกฟูกในทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้
สภาพภูมิอากาศอากาศเย็นสบาย ได้รับความอบอุ่นจากลมที่พัดมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ เหนือกระแสน้ำแอตแลนติกเหนือ มีฝนตกตลอดปี สภาพอากาศจะไม่แน่นอน
ทรัพยากรธรรมชาติถ่านหิน ปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ แร่เหล็กดิบ ตะกั่ว สังกะสี ทอง ดีบุก หินปูน เกลือ ดิน ดินสอพอง ยิปซั่ม โพแทช ทราย หินชนวน และผืนดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก
ภัยธรรมชาติมีลมพายุในหน้าหนาว และน้ำท่วม
จำนวนประชากร63,395,574 คน (ค่าประมาณ เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2556)
อัตราการเติบโตของประชากร0.553% (ค่าประมาณ พ.ศ.2555)
สัญชาติอังกฤษ (British)
เชื้อชาติชาวผิวขาว (ได้แก่ ชาวอังกฤษ 83.6% สก๊อตแลนด์ 8.6% เวลส์ 4.9% และไอร์แลนด์เหนือ 2.9%) รวมทั้งสิ้น 92% และชาวผิวดำ 2% อินเดียน 1.8% ปากีสถาน 1.3% ลูกครึ่ง 1.2% และอื่นๆ 1.6% (สัมมะโนประชากร พ.ศ.2544)
ศาสนาศาสนาคริสต์ 71.6% (นิกายแองลิแคน โรมันคาทอลิก เพรสไบเทอเรียน และเมโทดิส) 71.6% มุสลิม 2.7% ฮินดู 1% อื่นๆ 1.6% และระบุไม่ได้กับไม่มีศาสนา 23.1% (สัมมะ



อ้างอิง  http://www.apecthai.org/apec/th/profile1.php?continentid=1&country=uk
อังกฤษ เวลส์ และสก๊อตแลนด์แถบเกลิค












ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับประเทศอังกฤษ

ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับประเทศอังกฤษ

1. ภูมิประเทศและที่ตั้ง
ประเทศสหราชอาณาจักร (The United Kingdom) หรือที่รู้จักกันดีในนามของประเทศอังกฤษ เป็นดินแดนที่มีภูมิประเทศสวยงาม และความเจริญทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย ศูนย์รวมแหล่งวัฒนธรรม อุตสาหกรรม และการศึกษา เป็นดินแดนที่มีการผสมผสานของวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติต่างวัฒนธรรม พร้อมทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัย พื้นที่ของประเทศประกอบไปด้วย 2 เกาะขนาดใหญ่ คือ เกาะใหญ่ (The Great Britain) ซึ่งหมายถึงเกาะใหญ่ของอังกฤษ ที่รวมอาณาเขตของอังกฤษ (England) เวลส์ (Wales) และสก็อตแลนด์ (Scotland) ไว้ด้วยกัน และเกาะไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland) พื้นที่โดยรวมของประเทศประมาณ 240,000 ตารางกิโลเมตร โดยมีกรุงลอนดอน (London) เป็นเมืองหลวงของประเทศ2. สภาพภูมิอากาศ
ภูมิประเทศของเกรท บริเทน (Great Britain) เป็นประเทศที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงมาก จัดอยู่ในประเภทค่อนข้างหนาว มีความชื้นสูง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นเกาะ มีกระแสน้ำอุ่นและน้ำเย็นไหลผ่าน ทำให้เกิดหมอกหนาแน่นปกคลุมในบางครั้ง อากาศทางตอนเหนือจะสูงกว่าอากาศทางตอนใต้ และจะมีฝนตกทางภาคตะวันตกมากกว่าทางภาคตะวันออก อุณหภูมิโดยเฉลี่ยต่ำสุดในเดือนมกราคม ประมาณ 5 องศาเซลเซียสและสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ประมาณ 18 องศาเซลเซียส
3. ฤดูกาล มีทั้งหมด 4 ฤดู คือ
  • ฤดูใบไม้ผลิ (Spring) เดือนมีนาคม-พฤษภาคมอากาศจะเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก บางวันอากาศอบอุ่น มีแสงแดดจัดใน ตอนเช้า และเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เป็นหนาวเย็นหรือ ฝนตกในช่วงบ่าย
  • ฤดูร้อน (Summer) เดือนมิถุนายน-สิงหาคมอากาศ ส่วนใหญ่จะอบอุ่นและแสงแดดจัดจ้า
  • - ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn) เดือนกันยายน-พฤศจิกายน อากาศจะเย็นขึ้นเรื่อย ๆใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีสวยงามและร่วงหล่น
  • - ฤดูหนาว (Winter) เดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์อากาศช่วงนี้ จะหนาวมากที่สุด มีหิมะตกในบางพื้นที่กลางคืนจะยาวกว่า กลางวันและมืดเร็วกว่าปกติ
4. เวลา
ประเทศอังกฤษมีเวลาช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 6 ชั่วโมง ในช่วงปลายเดือนมีนาคม – ปลายเดือนตุลาคม และช้ากว่าประเทศไทย 7 ชั่วโมง ในช่วงปลายเดือนตุลาคม – ปลายเดือนมีนาคม
5. ไฟฟ้า
ระบบไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศ คือ ระบบ 240 V. AC 50 Hz เหมือนในประเทศไทย แต่จะใช้ปลั๊กไฟ 3 ขา ซึ่งต่างจากบ้านเรา หากต้องการนำอุปกรณ์ไฟฟ้าไปด้วย ควรจะเตรียมปลั๊กไฟฟ้า 3 ขา ดังในรูปภาพไปด้วย โดยแนะนำให้นำปลั๊กสามตาไปด้วยเพื่อต่อพ่วงเพื่อที่จะสามารถใช้ชารจ์ไฟฟ้าได้หลายอย่างในครั้งเดียวกัน
6.น้ำประปา
การประปาของสหราชอาชอาณาจักรมีระบบการทำน้ำประปาที่สะอาดมาก ซึ่งเราสามารถดื่มน้ำจากก๊อกน้ำตามบ้านหรือสาธารณะโดยไม่ต้องผ่านการกรองได้ โดยนักเรียนสามารถดื่มได้เฉพาะน้ำเย็นเท่านั้น ส่วนน้ำร้อนนั้นไม่ควรดื่ม เพราะมีการเติมสารเคมี7. ระบบเงินตรา
สหราชอาณาจักรใช้สกุลเงิน ปอนด์(Pound) เป็นหน่วยเงินประจำประเทศ สกุลเงินแบ่งออกเป็นธนบัตรทั้งหมด 4 ชนิด คือ ธนบัตรใบละ 5,10, 20 และ 50 ส่วนเหรียญแบ่งออกเป็น 8 ชนิด คือ 2 และ 1 ปอนด์ และ 50, 20, 10, 5, 2 และ 1 เพนนี นักเรียนสามารถแลกเงินได้ที่ธนาคารทั่วไปหรือสถานที่รับแลกเงินที่เรียกว่า bureau de change เช่น THOMAS COOK, American Express, Chequepointและ Exchange International นอกจากนั้นในห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ เช่น แฮร์รอดส์ หรือมาร์คแอนด์สเปนเซอร์ จะมีเคาน์เตอร์แลกเงินด้วย โดยควรสอบถามอัตราแลกเงินจากธนาคารต่างๆ เพื่อให้ได้อัตราที่ดีที่สุด เวลาทำการของธนาคารคือ ตั้งแต่วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 9.30 – 15.30 น. มีบางแห่งที่ปิดเวลา 17.00 น. เช่น บางสาขาของธนาคาร Bank of Scotland และบางแห่งเปิดทำการในวันเสาร์ด้วยตั้งแต่เวลา 9.30 – 12.00 น. คือ Nat West
8. การติดต่อสื่อสาร
ที่ทำการไปรษณีย์ เวลาทำการมักเปิดตั้งแต่วันจันทร์ – วันศุกร์ เวลา 9.00 – 17.30 น. และในวันเสาร์ เวลา 9.00 – 12.00 น. แต่ที่ทำการที่ Trafalgar Square เลขที่ 24 William IV Street, WC2 ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกของ Trafalgar Square เปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 8.00 – 20.00น. ที่ทำการไปรษณีย์แห่งนี้ สามารถหาซื้อแสตมป์สะสมที่จัดทำขึ้นตามเทศกาลต่างๆ เช่น ช่วงคริสต์มาสได้
แสตมป์ทั่วไปสามารถหาซื้อได้ตามที่ทำการไปรษณีย์และร้านขายหนังสือพิมพ์ จดหมายในประเทศติดแสตมป์ 32 เพนซ์จะส่งถึงวันรุ่งขึ้น ถ้าต้องการส่งกลับมาประเทศไทย 67 เพนซ์สำหรับจดหมาย (ราคาต่ำสุด)
ราคาและรายละเอียดอื่น ๆ สามารถหาได้จาก http://www.royalmail.com/portal/rm
ตู้ไปรษณีย์สีแดงแบบเก่ามีตั้งอยู่ริมถนนทั่วไป ส่วนตู้แบบใหม่สีแดงเหมือนกันแต่ขนาดเล็กกว่าจะอยู่กับผนังตึก
โทรศัพท์
  • อัตราค่าโทรศัพท์ขึ้นอยู่กับระยะทางและระยะเวลาที่ใช้ การโทรศัพท์ออกนอกประเทศ ช่วงระยะเวลาที่ ประหยัดคือตั้งแต่เวลา 18.00 - 08.00 น. สอบถามค่าบริการอีกครั้งด้วยการหมุนไปที่หมายเลข 155 หากโทรศัพท์โดยผ่านโอเปอเรเตอร์ต้องเสียค่าบริการมากกว่าโทรโดยตรง
  • หากจะโทรศัพท์มาประเทศไทยด้วยโทรศัพท์สาธารณะต้องหมุน : 00+66+รหัสเมือง+หมายเลขที่ต้องการ เช่น โทรมาที่กรุงเทพฯ หมายเลข 02-2612500 ต้องหมุน 00-66-2-2612500 เป็นต้น
  • เบอร์โทรศัพท์ที่ผ่านโอเปอเรเตอร์ไทยเพื่อเรียกเก็บเงินปลายทางคือ 0800 89 0066 สำหรับผู้ที่ มีความประสงค์จะโทรศัพท์จากประเทศไทยไปลอนดอน สามารถทำได้โดยกดรหัส 001 44 20 หรือ 001 44 181
โทรศัพท์มือถือ
  • ในปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือเป็นที่นิยมเนื่องจากสามารถพกพาได้สะดวก นักเรียนนำโทรศัพท์จากเมืองไทยไปใช้ประเทศอังกฤษได้ (ยกเว้นโทรศัพท์ในระบบ CDMA)
  • หลายเครือข่ายโทรศัพท์มีให้เลือกใช้ ทั้งผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น Vodafone, Orange และผู้ให้บริการระหว่างประเทศในราคาประหยัด เช่น Lebara
  • ซิมการ์ดสามารถหาซื้อได้ที่สนามบินหรือร้านโทรศัพท์มือถือทั่วไป
  • การเติมเงิน สามารถซื้อบัตรเติมเงินได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป
อ้างอิง  http://www.visionuk.net/about_england.php

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในประเทศอังกฤษ

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในประเทศอังกฤษ

Buckingham Palace
พระราชวังบั๊กกิ้งแฮม เป็นที่ประทับของพระราชินีของอังกฤษ และเป็นศูนย์กลางของราชวงศ์มาตั้งแต่ปี 1837 ... ในแต่ละวันจึงมีผู้คนไปอยู่รอบๆพระราชวังอย่างมากมาย ด้วยหวังว่า หากโชคดีอาจจะได้เห็นพระราชินีและหมู่ราชวงศ์

Houses of Parliament
สภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษ รู้จักกันในชื่อ Palace of Westminster เป็นสถานที่ที่การตัดสินใจที่สำคัญๆทางการเมืองของประเทศเกิดขึ้นที่นี่
สถานที่แห่งนี้เป็นที่ประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (House of Commons) และสมาชิกของสภาสูง (House of Lords) ที่ได้รับการแต่งตั้ง ... ผู้คนมักจะมาที่นี่เพื่อชมหอนาฬิกาอันเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของลอนดอน นั่นคือหอนาฬิกา Big Ben


Tower of London
หอคอยแห่งลอนดอนอายุกว่า 900 ปีแห่งนี้ เป็นมากกว่าหอคอยธรรมดาๆ ... ที่นี่ เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ราว 18 เอเคอร์ ... ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่นี่เคยเป็นพระราชวัง สถานที่คุมขัง โรงกษาปณ์ และแม้แต่เป็นสวนสัตว์
หอคอยแห่งลอนดอน เป็นที่เก็บทรัพย์สมบัติที่ล้ำค่าของอังกฤษ เช่น มงกุฏที่ประดับด้วยเพชรพลอยมูลค่ามหาศาล .. ที่ดูแปลกๆก็คือมีฝูงกาอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย ..
มีทหารในชุดแต่งกายสมัยโบราณแบบ Yeoman Warders ดั้งเดิม ที่บ้างเรียกกันว่า Beefeaters คอยดูแลรักษาความปลอดภัย

Tower Bridge
ใกล้ๆกับหอคอยแห่งลอนดอน เป็นที่ตั้งของ Tower Bridge สะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ที่โด่งดัง
สะพานแห่งนี้เปิดใช้งานในปี 1894 มีลักษณะเป็นสะพานแขวนผสมกับสะพานที่สามารถเปิดตรงกลางสะพานได้ ยามเมื่อต้องการให้เรือสูงๆแล่นผ่านไป-มา


London Eye
คงไม่มีวิธีใดที่จะเฝ้ามองกรุงลอนดอนในมุมสูงได้ดีไปกว่า การมองจากชิงช้าขนาดยักษ์สูงถึง 135 เมตรซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์
London Eye เปิดให้ผู้คนเข้าไปใช้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 1999 เพื่อเฉลิมฉลองและต้อนรับสหัสวรรษใหม่ หรือ the new millennium ... ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ที่นี่ได้กลายเป็นหมุดหมายที่สำคัญแห่งใหม่ของกรุงลอนดอน ในปัจจุบัน London Eye เป็นชิงช้าที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก



ที่มา  http://www.oknation.net/blog/print.php?id=815743

สหราชอาณาจักร (United Kingdom, UK)

สหราชอาณาจักร (United Kingdom, UK) 
มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า The United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland เป็นเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป
สหราชอาณาจักรอาจจะไม่คุ้นหูสำหรับคนไทยมากนัก หรือบางคนก็เข้าใจว่าคือประเทศอังกฤษ แต่จริงๆ แล้วสหราชอาณาจักรนั้นประกอบไปด้วย 4 ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ (England), ไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland), สกอตแลนด์ (Scotland) และเวลส์ (Wales) ซึ่งแต่ละประเทศมีการปกครองเป็นของตัวเอง
อังกฤษ (England) เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีประชากรมากที่สุดในสหราชอาณาจักร และก็เป็นประเทศที่คนไทยรู้จักมากที่สุดอีกด้วย อังกฤษมีเมืองหลวงชื่อกรุงลอนดอน (London) ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางทางการเงินของยุโรป และเป็นเมืองหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามามากที่สุด ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยรวมอยู่ด้วย นอกจากมหานครที่ไม่เคยหลับไหลอย่างลอนดอนแล้ว อังกฤษยังมีเมืองอื่นๆ อีกหลายเมืองที่เป็นน่าไปสัมผัส ซึ่งให้ความรู้สึกของความเป็นเมืองเก่า ไม่วุ่นวาย และมีความเป็นธรรมชาติสูง แตกต่างเมืองใหญ่อย่างลอนดอนโดยสิ้นเชิง
นอกจากชื่อเสียงด้านท่องเที่ยวแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนไทยรู้จักอังกฤษเป็นอย่างดีคงหนีไม่พ้นฟุตบอล นักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาเพื่อสัมผัสกับสนามบอล หรือชมการแข่งขันฟุตบอลของทีมโปรดซักครั้งในชีวิตก็พอใจแล้ว
ไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland) ไอร์แลนด์เหนือนั้นมีเมืองหลวงชื่อเบลฟาสต์ (Belfast) เป็นประเทศเดียวที่อยู่คนละเกาะกับประเทศอื่นในสหราชอาณาจักร และเป็นประเทศเดียวที่มีอาณาเขตติดกับประเทศอื่นที่อยู่นอกเหนือสหราชอาณาจักร โดยมีอาณาเขตติดกับประเทศไอร์แลนด์
ไอร์แลนด์เหนืออาจจะไม่ได้มีสิ่งก่อสร้างหรือสถานที่ที่มีสื่องเสียงระดับโลกเหมือนหลายๆ ประเทศในยุโรป แต่ว่าไอร์แลนด์เหนือนั้นมีความสวยงามของธรรมชาติและความเรียบง่ายของผู้คน ทำให้ไอร์แลนด์เหนือนั้นมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง และเป็นประเทศหนึ่งที่น่าลองมาสัมผัสหากมีโอกาสได้มาเยือนสหราชอาณาจักร
สกอตแลนด์ (Scotland) เป็นประเทศที่ประเทศที่อยู่ทางเหนือสุดของเครือสหราชอาณาจักร มีเมืองหลวงชื่อเอดินบะระ (Edinburgh) ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงามเหมือนในเทพนิยาย ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะมาจากจุดเด่นของเมือง ซึ่งก็คือคือปราสาทเอดินบะระ (Edinburgh Castle) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงกลางเมือง
สกอตแลนด์เป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในสหราชอาณาจักร แต่ส่วนใหญ่ประชากรจะอาศัยกันอย่างหนาแน่นทางตอนใต้และตอนกลางเท่านั้น เนื่องจากทางซีกเหนือมีอากาศหนาวเย็น ซึ่งพื้นที่ส่วนนี้เรียกว่า Highlands ถึงแม้ว่าจะมีคนอาศัยอยู่ไม่มากนัก แต่ Highlands จัดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของสกอตแลนด์ เนื่องจากยังคงความเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์และสวยงามเอาไว้ได้ รวมถึงลักษณะการใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมของผู้คนที่อาศัยอยู่เขต Highlands
นอกจากนี้สกอตแลนด์ยังเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านอื่นๆ อีกหลายด้าน เช่น วิสกี้ และปี่สกอต (Bagpipe)  แต่จริงๆ แล้วสกอตแลนด์นั้นเป็นต้นกำเนิดของกีฬาที่มีได้รับความนิยมอย่างฟุตบอลและกอล์ฟ
เวลส์ (Wales) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอังกฤษ มีเมืองหลวงชื่อคาร์ดิฟฟ์ (Cardiff) ลักษณะบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างของเวลส์จะมีความคล้ายคลึงกับอังกฤษมาก แต่ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เนื่องจากเวลส์มีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขา
ที่มา http://www.sasommile.com/destinations/united-kingdom/

สหราชอาณาจักรกับอังกฤษ ต่างกันอย่างไร


สหราชอาณาจักรกับอังกฤษ ต่างกันอย่างไร
ประเทศอังกฤษที่ชาวไทยรู้จัก มีชื่อเต็มว่า United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland แปลเป็นภาษาไทยว่า
"สหราชอาณาจักร บริเตนใหญ่ และไอร์แลนด์เหนือ" เรียกสั้นๆ ว่า United Kingdom หรือ UK แปลเป็นภาษาไทยว่า สหราชอาณาจักร
สหราชอาณาจักรประกอบด้วยดินแดน 4 ส่วนหรือแคว้น
- 3 ส่วนอยู่บนเกาะอังกฤษ คือ แคว้นอังกฤษหรืออิงแลนด์ แคว้นสกอตแลนด์
และแคว้นเวลส์
- 1 ส่วนอยู่บนเกาะไอร์แลนด์ คือ แคว้นไอร์แลนด์เหนือ
เหตุผลที่ผู้คนทั่วโลกเมื่อพูดถึงสหราชอาณาจักร มักจะใช้แต่คำว่าอังกฤษหรืออิงแลนด์
ผู้รู้ส่วนใหญ่อธิบายว่า.. อาจเป็นเพราะเหตุผลทางประวัติศาสตร์ คือ แคว้นอังกฤษ เป็นแคว้นใหญ่ที่สุด และมีอิทธิพลครอบงำแคว้นอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร มาเป็นเวลานาน เมื่อครั้งที่สหราชอาณาจักรเป็นเจ้าอาณานิคมทั่วโลก ผู้ปกครอง เจ้าหน้าที่ และบรรดาพ่อค้า ก็มักจะเป็นคนจากแคว้นอังกฤษมากกว่าคนจากแคว้นอื่นๆ จึงเป็นไปได้ว่าเมื่อมีคนถามว่า.."มาจากไหน"   ก็จะได้ยินคำตอบว่า.."มาจากอิงแลนด์หรืออังกฤษ"
คำว่า "อังกฤษ" จึงอาจกลายเป็นคำนามที่ใช้เรียกแทนสหราชอาณาจักร  นอกจากนี้สถานฑูตอังกฤษทั่วโลกจะใช้คำว่า British Embassy ไม่ได้ใช้คำว่า   UK Embassy เรื่องนี้ผู้รู้บอกว่า British เป็นคำคุณศัพท์ของ Britain ซึ่งเป็น  อีกคำหนึ่งที่ แปลว่า อังกฤษ เหมือนกัน ฉะนั้นการที่สถานฑูตอังกฤษจะใช้ว่า British Embassy จึงไม่น่าจะผิดอะไร       สำหรับคนต่างชาติ เวลาได้ยินหรือได้เห็นคำว่า Britain    หรือตัวย่อ GB เช่น จากกีฬาโอลิมปิก
โดยทั่วไปก็ตีความไปได้ทันทีว่า หมายถึง สหราชอาณาจักรทั้งประเทศ ซึ่งรวมถึงไอร์แลนด์เหนือด้วย
ที่มา  http://www.lib.ru.ac.th/miscell/bt_and_uk.html

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เบเฮโมท (Behemot)

                                                                   เบเฮโมท (Behemot)
หนึ่งใน 3 ปีศาจดึกดำบรรพ์ในคัมภีร์ไบเบิ้ล
อสูรร้ายดึกดำบรรพ์ จ้าวแห่งผืนปฐพีเช่นเดียวกับ เลวีอาธานจ้าวแห่งผืนน้ำ และ ซิซจ้าวแห่งผืนนภา ชื่อเบเฮโมทมาจากภาษาฮีบรู Behemot มีความหมายหมายถึงอสูรกาย สัตว์ขนาดใหญ่ยักษ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกคำดังกล่าวยังถูกใช้เปรียบเทียบกับสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเกินกว่าจะเปรียบเทียบได้ด้วยและแน่นอน เบเฮโมทเป็นอสูรกายโบราณที่ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์บทหนังสือของโยบเช่นเดียวกัน

ตามความเชื่อของชาวยิวโบราณ เบเฮโมทเป็นอสูรกายดึกดำบรรพ์แห่งผืนภพ ขณะที่เลวีอาธานเป็นอสูรกายดึกดำบรรพ์แห่งผืนนที และซิซครอบครองผืนนภา มีตำนานกล่าวว่า เลวีอาธาน กับ เบเฮโมทจะต่อสู้ทำศึกกันในวาระสุดท้ายของโลก โดย เบเฮโมท คือ วัว และ เลวีอาธาน คือปลา ทั้งคู่จะเข้าห้ำหั้นกันโดยกำลังของเบเฮโมทอยู่ในเขาอันทรงพลัง ขณะที่เลวีอาธานอยู่ในครีบ และสุดท้ายทั้งคู่จะฆ่ากันและกันส่วนมนุษย์ที่เหลือรอดจะจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่จากเนื้อจำนวนมหาศาลของมันขณะที่แหล่งข้อมูลอื่นว่า พระผู้สร้างจะเสด็จลงมาพร้อมด้วยดาบอันทรงฤทธานุภาพและสังหารมันทั้งคู่ลงเสีย เช่นเดียวกับเลวีอาธาน ที่นักวิชาการพระคัมภีร์จะพยายามตั้งสมมุติฐานถึงเบเฮโมทในฐานะสิ่งมีชีวิต สัตว์ปกติอย่างหนึ่งในโลกซึ่งสัตว์โลกที่ถูกตั้งข้อสมมุติฐานว่าอาจเป็นที่มาของเบเฮโมทก็ได้นั้น ได้แก่ ควายน้ำ แรด วัว และ ช้างแต่ที่เชื่อและได้รับการยอมรับกันมากที่สุดคือ ฮิปโปโปเตมัส  เพราะในพระคัมภีร์บทหนังสือของอิศยาห์เองก็มีการแปลความตัว ฮิปโปโปเตมัส เป็น  Bahamat Negeb หรือ “อสูรแห่งทิศใต้”

แต่กระนั้นก็ดี นักวิชาการบางส่วนก็ยังไม่เชื่อในข้อสันนิษฐานนั้น โดยยกประเด็นเรื่องหางมาเป็นข้อโต้แย้งจากบทบรรยายที่พูดถึงหางที่แกว่งไกวไปมาเหมือนไม้สนซีดาร์ในพระคัมภีร์ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะสื่อถึงช้างเสียมากกว่า

ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่มีความเห็นแตกต่างกัน เชื่อว่าเบเฮโมทน่าจะเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์เยี่ยงไดโนเสาร์เสียมากกว่าโดยเฉพาะไดโนเสาร์ในตระกูล ซอร์รอพอด ที่มีลักษณะหลายอย่างตรงตามบทบรรยายของโยบ เช่น เรื่องของขนาดอันใหญ่โตกระดูกเหมือนท่อนเหล็ก ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ และหางที่แกว่งเหมือนไม้สนซีดาร์  แต่กระนั้นก็ดี ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สอดคล้องหลายประการ ทั้งจากหลักฐานทางฟอซซิล และบทบรรยายว่า เบเฮโมท กินหญ้าเป็นอาหารเยี่ยงวัวอีกซึ่งขัดกับลักษณะฟันและธรรมชาติของซอร์รอพอด

                              

ที่มา  http://writer.dek-d.com/78777/story/view.php?id=1044281

ซิซ (Ziz)

                                                                      ซิซ (Ziz)
ซิซ เป็นคำภาษาฮีบรู เป็นอสูรกายในตำนาน เป็นนกยักษ์รูปร่างคล้ายกริฟฟิน ที่ปรากฏในตำนานของทางยิวความใหญ่โตโอฬารของมันนั้นใหญ่มากชนิดถึงกับมีการบรรยายเอาไว้ว่าหากซิซสยายปีกออกมาเต็มที่เมื่อใด เมื่อนั้น ปีกทั้งหมดของมันสามารถปิดปกคลุมแสงอาทิตย์ทั้งหมดที่ส่องลงมาได้เลยซิซ ถือว่าเป็นอสูรกายโบราณ จอมราชันย์แห่งผืนนภาผู้ปกครองฟ้าอันกว้างใหญ่ เช่นเดียวกับ ราชันย์จ้าวแห่งมาหสมุทร เลวีอาธานและราชันย์ จ้าวแห่งพิภพ เบเฮโมท นั่นเอง

มีบางตำนานกล่าวไว้ว่า ซิซคือราชันย์แห่งมวลหมูวิหค การถือกำเนิดและการคงอยู่ของมันมีไว้เพื่อมวลหมู่วิหคทั้งมวลในนภากาศเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องมวลหมู่วิหคทั้งมวล  หากหาไม่แล้ว หากซิซไม่ได้ดำรงอยู่ มวลหมู่วิหคทั้งหลาย โดยเฉพาะนกตัวเล็กๆที่อ่อนแอและไม่อาจป้องกันตัวเองได้ จะถูกล่า และถูกฆ่าเสียหมดจนเหี้ยนเตียนดังนั้นสำหรับมนุษย์แล้ว ซิซคืออสูรกายยักษ์อมตะที่น่าหวั่นสะพรึง ที่พร้อมจะเป็นภัยคุกคามสำหรับมนุษย์ทุกผู้ที่ก้าวย่างล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของมัน หรือรังแกทำร้ายบรรดานกมวลหมู่วิหคทั้งหลาย

ซิซ อาจเปรียบได้กับ คาร์ หรือ คารา หรือสัตว์ในตำนานประเภทนกอื่นๆ (โดยละเลยต่อข้อจำกัดเรื่องขนาดที่แตกต่างของมัน)เช่นเดียวกับสัตว์หรือวิหคในตำนานอื่นๆ ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกับซิซในแง่ต่างๆ ทั้งความเหมือนต่าง คล้ายคลึงและสอดคล้องและในบรรดานั้น ซิเมิร์ก และ ร็อก เป็นวิหคในตำนานที่นิยมนำมาเปรียบเทียบร่วมกับซิซซิเมิร์ก หรือ ซิมอร์ก เป็นชื่อของวิหคเหิรเวหาในตำนานของทางเปอร์เซีย ซึ่งรูปร่างลักษณะต่างๆ ของมันสามารถพบได้ดาษดื่นทั่วไปในผลงานงานประพันธ์และผลงานศิลปะของอิหร่านในยุครุ่งเรือง และหลักฐานที่บ่งบอกถึงการดำรงอยู่ของซิเมิร์กในศิลปะงานประพันธ์ต่างๆก็ปรากฏพบได้จากแผนภาพนูนต่ำในช่วงยุคกลางของอาร์เมเนีย ไบเซนเที่ยม และในเขตรอบนอกวงแหวนอื่นๆที่ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมมาจากทางอิหร่าน

ร็อค หรือ รูค เป็นอีกหนึ่งวิหคที่มีประวัติที่มาจากตำนาน เป็นนกขนาดใหญ่มักจะมีสีขาว เลื่องลือว่ามีขนาดใหญ่โตและแข็งแรงขนาดที่ว่าช้างเป็นๆ ทั้งตัว ขึ้นไปจับฉีกกินในอากาศได้เลยทีเดียวชื่อร็อค หรือ รูค หรือ โร๊ค นี้มาจากทางเปอร์เซีย ประวัติที่มาที่ไปอันแน่นอนเกี่ยวกับเรื่องร็อคนี้ยังไม่เด่นชัดนักขณะที่บางแหล่งข้อมูลก็เชื่อว่า ร็อค นี้อาจเป็นสัตว์ในตำนานที่ถูกขนานนามสร้างขึ้นมาจาก วิหค นกที่มีอยู่จริงมาปั้นเสริมเติมแต่งให้เกินจริงก็เป็นได้ซึ่งข้อสันนิษฐานแหล่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือนกในช่วงต้นของศตวรรษที่ 8 จากผลงานการประพันธ์ของนักเขียนทางตะวันออกกลางคนหนึ่งนอกจากนี้เคยมีรายงานว่ามีผู้พบเห็นนกที่อ้างกล่าวถึงนี้จริงในช่วงศตวรรษที่ 16 โดยนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่ได้ไปแวะไปเที่ยวในละแวกเขตมหาสมุทรอินเดีย

มีตำนานกล่าวว่า เลวีอาธาน กับ เบเฮโมท จะต่อสู้ทำศึกกันในวาระสุดท้ายของโลก โดย เบเฮโมท คือ วัว และ เลวีอาธาน คือปลาทั้งคู่จะเข้าห้ำหั้นกัน โดยกำลังของเบเฮโมทอยู่ในเขาอันทรงพลัง ขณะที่เลวีอาธานอยู่ในครีบ และสุดท้ายทั้งคู่จะฆ่ากันและกันส่วนมนุษย์ที่เหลือรอดจะจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่จากเนื้อจำนวนมหาศาลทั้งจากของ เลวีอาธาน เบเฮโมท และ ซิซซึ่งในตำนานทางเปอร์เซียก็มีตำนานที่ใกล้เคียงกับเนื้อหาดังกล่าวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานเลี้ยงครั้งใหญ่หลังมหาสงครามของอสูรกายที่เนื้อของพวกมันจะกลายเป็นอาหารมื้อใหญ่ของงานเลี้ยง  ขณะที่แหล่งข้อมูลอื่นว่า พระผู้สร้างจะเสด็จลงมาพร้อมด้วยดาบอันทรงฤทธานุภาพและสังหารมันทั้งคู่ลงเสีย

     

ที่มา  http://writer.dek-d.com/78777/story/view.php?id=1044281

เลวีอาธาน (Leviathan)

                                                                เลวีอาธาน (Leviathan)
หนึ่งใน 3 ปีศาจดึกดำบรรพ์ในคัมภีร์ไบเบิ้ลปีศาจดึกดำบรรพ์ทั้ง 3 ได้แก่  เลวีอาธาน(จ้าวสมุทร) เบเฮโมท(จ้าวปฐพี) ซิซ (จ้าวนภา)
ในคริสต์ศาสนา เชื่อว่า เลวีอาธาน คืออสูรกายปีศาจยักษ์ในยุคดึกดำบรรพ์ ที่เกี่ยวข้องกับซาตานและความชั่วร้ายและเชื่อว่าน่าจะเป็นอสูรกายตัวเดียวกับราหับในหนังสือของอิศยาห์ ขณะที่นักวิชาการพระคัมภีร์ เชื่อว่า เลวีอาธานเป็นสื่อแสดงให้เห็นถึงสภาพของความยุ่งเหยิงไร้ระเบียบในยุคแรก (Chaos) เป็นการสื่อถึงพลังงานแห่งความวุ่นวายความโกลาหล และความเอาแน่เอานอนไม่ได้ที่เกิดขึ้นกับกาลเวลาในยุคแรกและบนผืนน้ำ ขณะที่ในคัมภีร์ศาสตร์มนต์ดำอย่างพวกกรีมอร์ ก็มักมีการกล่าวถึงเลวีอาธานอยู่บ่อยๆ  ส่วนในคัมภีร์สารระบบรองของอีโนค มีการกล่าวถึง เลวีอาธานโดยได้มีการระบุว่า เลวีอาธาน เป็นอสูรกายเพศเมีย ขณะที่อสูรกายเพศผู้คือ เบเฮโมท ที่เป็นด้านตรงข้ามกัน

ในพระคัมภีร์ บทหนังสือของโยบ มีการกล่าวถึงเลวีอาธานและเบเฮโมท ร่วมกันกับสัตว์อื่นๆ ปกติตามประสาสัตว์โลกในธรรมชาติเช่น แพะ หรือ เหยี่ยว  ทำให้นักวิชาการอดที่จะตั้งสมมุติฐานไม่ได้ว่า บางทีเลวีอาธานอาจเป็นสัตว์โลกสามัญธรรมดาเฉกเช่นสัตว์อื่นๆ ก็เป็นได้  ซึ่งหนึ่งในบรรดาสัตว์ที่ถูกยกมาตั้งสมมุติฐานว่าอาจเป็นต้นแบบของเลวีอาธานก็เป็นได้คือ จระเข้ขนาดใหญ่แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ไนล์ ครอคโคไดล์ หรือ จระเข้แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ มีคุณลักษณะหลายอย่างที่อาจเทียบเคียงได้กับเลวีอาธานตัวอย่างเช่น ธรรมชาติของมันที่เป็นสัตว์น้ำขนาดใหญ่ที่มีเขี้ยวอันแหลมคม และ เต็มไปด้วยความดุร้ายน่าเกรงขามจากบทของโยบข้างต้น ได้บรรยายตาของเลวีอาธานเอาไว้ว่า “ตาของมันเหมือนอย่างแสงอรุณรุ่งเช้า”ซึ่งนักวิชาการบางคนได้ลองเปรียบเทียบโคลงท่อนดังกล่าวเข้ากับดวงตาของจระเข้ ซึ่งมักจะปรากฏผุดโผล่ขึ้นมาจากน้ำเป็นส่วนแรกที่เราเห็น ก่อนจะเห็นร่างกายหรือศีรษะส่วนที่เหลือของจระเข้เสียอีก ซึ่งนั่นอาจเปรียบเทียบได้กับแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ผุดขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้านั่นเอง แต่หากพิจารณาโดยใช้โคลงบทเดียวกันนี่เองบทต่อมาได้บรรยายเลวีอาธันไว้ว่ามีลมหายใจเป็นไฟราวกับมังกรไฟ ซึ่งหากพิจารณาเช่นนี้แล้ว จระเข้แห่งลุ่มน้ำไนล์จะแตกต่างกับเลวีอาธานอย่างสิ้นเชิง และแน่นอนคำบรรยายที่ปรากฏในพระคัมภีร์ส่วนอื่นๆ ก็ดูจะไม่สอดคล้องกับจระเข้แห่งลุ่มน้ำไนล์ด้วย

วาฬขนาดยักษ์ เป็นอีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง ที่เชื่อว่าอาจเป็นแหล่งที่มาของเลวีอาธานได้ และหลายครั้งในอดีต กะลาสีเรือชาวยุโรปก็ ประสบกับวาฬ หรือสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ที่มีรูปร่างเยี่ยงมังกรหรืองูขนาดยักษ์ ที่ใหญ่โตมากขนาดที่ว่า แค่การว่ายไปมาของมันในมหาสมุทรก็เพียงพอที่จะสร้างวังน้ำวนขนาดยักษ์ ที่ใหญ่พอที่จะกลืนเรือทั้งลำลงไปได้อย่างง่ายดายไดโนเสาร์ หรือสิ่งมีชีวิต สัตว์ในยุคดึกดำบรรพ์ก่อนประวัติศาสตร์ ก็เป็นอีกความเป็นไปได้หนึ่งที่ถูกต้องข้อสมมุติฐานขึ้นมาข้อสมมุติฐานนี้เชื่อว่าเลวีอาธานเป็นไดโนเสาร์ในสายตระกูล พาราซอว์ออโลฟุส  หรือเป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ที่อาศัยในน้ำอย่าง โครโนเซารัส
แต่แม้กระนั้นก็ดี แม้อาจจะอธิบายเรื่องขนาดอันใหญ่โตหรือรูปลักษณ์ที่ปรากฏของมันได้ แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม เลวีอาธานมีลมหายใจเป็นไฟ สามารถพ่นไฟได้อยู่ดี

                                      

ที่มา http://writer.dek-d.com/78777/story/view.php?id=1044281

เซนทอร์ (Centaur)

                                                                   เซนทอร์ (Centaur) 
 เป็นอมนุษย์ที่โลดแล่นอยู่ในเทพนิยายของกรีก-โรมัน และแน่นอนว่าแม้แต่ในนิยายหลายเรื่องโดยเฉพาะแนวแฟนตาซีต้องมีพวกเขาเหล่านี้ออกมาโลดแล่นอยู่ด้วย ซึ่งรูปร่างของเซนทอร์นั้นจะมีครึ่งท่อนบนเป็นคน คือตั้งแต่หัวลงมาจนถึงเอว และครึ่งท่อนล่างเป็นม้า ก็คือตั้งแต่ช่วงเอวลงไป นั่นก็คือมีขาสี่ขา และมีหางเหมือนอย่างม้า มีทั้งเซนทอร์เพศชายและเพศหญิง เชื่อกันว่าเซนทอร์คือสิ่งที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์และพลังแห่งธรรมชาตินอกจากนี้สมัยก่อนช่วงอารยธรรมกรีก พวกอินเดียนแดงบางเผ่าก็ได้ใช้สัญลักษณ์ประจำเผ่าเป็นลักษณะของครึ่งคนครึ่งม้า ซึ่งยุคแรกๆ เซนทอร์ ถูกเรียกว่า ฮิปโปเซนทอร์ (Hippocentaurs) หรือปีศาจจำพวกหนึ่งที่มีร่างเป็นมนุษย์ โดยฮิปโปเซนทอร์ได้มอบเครื่องรางที่มีรูปร่างเป็นคนแต่ครึ่งล้างเป็นม้าให้กับพวกอินเดียนแดง จากนั้นต่อมาเครื่องรางชนิดนี้ก็ได้เข้ามาสู่พิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตรกรรมของชาวยุโรปในเวลาต่อมา และยังมีความเชื่อกันว่า เซนทอร์ เป็นลักษณ์ของเผ่านักรบที่น่าเกรงขามอีกด้วยอุปนิสัยของเซนทอร์จะชอบอาศัยอยู่ในป่าและก็ชอบการดื่มสุรามาก แต่นั่นก็เป็นจุดอ่อนของเซนทอร์อีกเช่นกันเพราะ กินทีไรพี่ก็เมาแอ๋ไม่รู้เรื่องทุกที เวลาไปไหนก็ไปเป็นกลุ่ม มักจะอยู่รวมกันเป็นฝูง และเมื่อถึงเวลาผสมพันธุ์ก็จะใช้วิธีที่รุนแรงกับตัวเมีย (บางตำราว่าทำกันถึงตายก็มี) ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันในกลุ่มเซนทอร์ชนชาติกรีกมีความชื่นชอบม้ามาก เซนทอร์เองจึงมีบทบาทหลายต่อหลายครั้งในตำนานเทพของกรีก นอกจากนี้เซนทอร์ก็ยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามตระผมลที่สืบเชื้อสายมาอีกด้วย โดยเชื้อสายที่สืบทอดมากจาก อิกซ์เซียน (Ixion) จะเป็นพวกที่ดูป่าเถื่อน ไร้การศึกษา โหดร้ายและชอบใช้ความรุนแรง ส่วนเซนทอร์ที่สืบมากจากนางฟีลีร่า (Philyra) กับ เทพโครโนส (Cronos) (เทพแห่งความตายและเป็นบิดาของมหาเทพซุสด้วย ซึ่งเทพโครโนสนี้ก็เป็นอดีตมหาเทพที่ถูกลูกของตัวเองก็คือเทพซุสโค่นอำนาจลง) ก็คือ ชีรอน (Chiron)เรื่องของเซนทอร์ที่ชื่อชีรอนนี้มีปรากฎอยู่ในตำนานของเฮอคิวลีส ซึ่งเล่ากันว่าในระหว่างที่เฮอคิวลีสกำลังเดินทางเพื่อปฏิบัติภาระกิจอยู่ก็ได้มีเรื่องปะทะกับฝูงพวกเซนทอร์ โดยเรื่องมีอยู่ว่าเฮอคิวลีสเข้าใจว่าเซนทอร์ที่ชื่อว่า เนซซัส (Nessus) กำลังฉุดผู้หญิงอยู่ โดยหารู้ไม่ว่าเป็นธรรมเนียมของชาวเซนทอร์ ซึ่งเวลาร่วมเพศจะชอบใช้ความรุนแรงกับเซนทอร์เพศเมีย ก็เลยมีการต่อสู้เกิดขึ้น เมื่อถูกพวกเซนทอร์อารมณ์ร้ายรุมมากๆ เฮอคิวลีสก็ได้ใช้ลูกธนูที่อาบด้วยเลือดของไฮดร้ายิงใส่ฝูงเซนทอร์ แต่มีลูกธนูดอกหนึ่งพลาดไปถูกชีรอน (Chiron) เข้า ซึ่งมีชีรอนเคยเป็นอาจารย์ของเฮอร์คิวลีสมาก่อนก็อยู่แถวนั้นด้วย ชีรอนได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจากพิษของไฮดร้าที่เคลือบอยู่ปลายลูกธนู แต่ก็ไม่สามารถจะพ้นทุกข์ด้วยความตายได้เพราะเขาเองก็เป็นบุตรแห่งเทพ จึงมีความสถานะเป็นอมตะด้วย แม้เฮอคิวลีสจะรู้สึกผิดแต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรอาจารย์ของตนเองได้ เมื่อความเจ็บปวดทวีขึ้นเรื่อยๆ จนชีรอนเริ่มจะทนไม่ไหว ชีรอนจึงขอให้เทพซุสประทานความตายให้แก่ตน จากนั้นชีรอนก็ได้กลายเป็นกลุ่มดาวรูปเซนทอร์ซึ่งมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งม้ากำลังถือคันธนู ซึ่งเรียกว่า กลุ่มดาวราศีธนู หรือ แซจิเทเรียส (Sagitarius)ในส่วนความสามารถของเซนทอร์ เซนทอร์เป็นกลุ่มนักรบที่ห้าวหาญ มีความสามารถในการรบ แข็งแรงและปราดเปรียวเวลาอยู่ในศึกสมรภูมิ นอกจากนี้ก็ยังมีสายตาดีมาก ซึ่งสามารถมองเห็นจากระยะไกลๆ ได้สบายๆ
                                        

ที่มา  http://writer.dek-d.com/78777/story/view.php?id=1044281

ไซเรน (Sirens)

ไซเรน (Sirens)

เป็นที่รู้จักกันในลักษณะของสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งนก บ้างก็ว่าเป็นสตรีมีปีกและเท้าอย่างนก บ้างก็ว่าเป็นนกแต่ส่วนศีรษะเป็นสตรี จุดเด่นที่เป็นที่เลื่องลือของเหล่านางไซเรนก็คือเสียงขับขานอันหวานไพเราะ จนสามารถสะกดให้คนโดดลงจากเรือเพื่อว่ายน้ำไปหานาง

ว่ากันว่า เหล่านางไซเรนนี้เป็นธิดาของเทพประจำแม่น้ำอะเคอะโลอัสกับเทพธิดามิวส์องค์ ใดองค์หนึ่งระหว่างเมลพอมินีกับเทอร์ปซิคะเรนางจึงเป็นนางอัปสรประจำแม่น้ำ มีจำนวนไม่แน่นอน โฮเมอร์ว่ามีเพียงสอง แต่นักเขียนหลังๆว่ามีสามบ้าง สี่บ้าง หรือถึงแปดบ้าง
ส่วนสาเหตุที่เหล่าไซเรนต้องมีรูปร่างเป็น ครึ่งคนครึ่งนกนี้ เล่ากันว่า แต่เดิม นางเหล่านี้เป็นผู้รับใช้ติดตามเทวีเพอร์เซโฟนี และอยู่ในเหตุการณ์ที่ยมเทพฮาเดสลักพาตัวเทวีไป พวกนางจึงอ้อนวอนต่อเทพบดีให้ประทานปีกให้ เพื่อที่จะได้ไล่ตามไป แต่บางตำนานก็ว่าพวกนางถูกเทวีดิมีเทอร์สาปให้มีรูปลักษณ์เช่นนั้นเป็นการลง โทษที่ไม่ดูแลเทวีเพอร์เซโฟนี ปล่อยให้เทพฮาเดสมาฉุดคร่าไปโดยไม่เข้าช่วยเหลือ
เหล่านางไซเรนนี้มี เสียงขับร้องที่ไพเราะยิ่ง จนถึงกับบังอาจท้าทายเหล่าเทพธิดามิวส์ให้ประชันขันแข่งกับตน ด้วยได้รับการยุยงจากเทวีฮีรา แต่เหล่าไซเรนก็ยังพ่ายแพ้ และถูกเทพธิดามิวส์ลงโทษถอนขนปีกมาทำมงกุฎ ด้วยความอับอายนางไซเรนจึงหลบเร้นไปอยู่ตามหินโสโครกแถบชายฝั่งอิตาลีตอนใต้ ใครเดินเรือผ่านก็จะขับร้องบทเพลงด้วยน้ำเสียงที่หวานไพเราะจับใจ จนผู้ได้ฟังจะลืมสิ้นทุกสิ่ง ลืมตัว ลืมบ้านเกิดเมืองนอน ลืมภาระหน้าที่ (คงลืมตาด้วยมั้ง) รู้อย่างเดียวว่าจะต้องไปหาผู้ที่ขับขานนั้นให้ได้ แล้วก็จะโดดลงจากเรือ ว่ายน้ำไปหานางไซเรน แล้วก็ถูกจับกิน หรือไม่ก็ว่ายน้ำไปแล้วก็หลงใหลได้ปลื้มกับเสียงนั้น ไม่เป็นอันกินอันนอนจนขาดใจตาย
แต่ผู้ที่รอดจากนางไซเรนได้ก็มี คือเมื่อครั้งที่เรืออาร์โก (Argo เรือที่เจสันกับพรรคพวกใช้เดินทางไปเสาะหาขนแกะทองคำ - โยนกลับไปที่บล็อก fantastica) แล่นผ่านดงไซเรน ออร์ฟิอุสก็ขับพิณกลบเสียงนางเสียหมด มีเพียงบูเทสที่แว่วเสียงของนางไซเรนและโดดลงจากเรือไป แต่เทวีอโฟรไดทีคว้าตัวไว้ทัน แล้วพาไปไว้ที่เกาลิลิเบอุมในซิซิลี และว่ากันว่าบูเทสได้สมสู่กับเทวีจนเทวีให้กำเนิดบุตร ๑ คน คือ เอริกซ์ (Eryx)
ต่อมา เมื่อโอดิสซีอุสแล่นเรือผ่านมา ก็รอดไปได้อีก เพราะนางเซอร์เซให้คำแนะนำไว้แล้ว คือให้เอาขี้ผึ้งอุดหูไว้ ไม่ให้ได้ยินเสียงของนางไซเรนก็จะปลอดภัย แต่ด้วยความที่อยากฟังเสียงอันเป็นที่เลื่องลือของเหล่านางไซเรน โอดิสซีอุสจึงสั่งให้ทหารและลูกเรือทุกคนเอาขี้ผุ้งอุดหูให้สนิท แล้วมัดโอดิสซีอุสไว้กับเสากระโดงเรือให้แน่นหนา และสั่งเด็ดขาดว่าไม่ว่าตนจะดิ้นรนอ้อนวอนหรือขู่เข็ญสาปแช่งด่าพ่อล่อแม่ อย่างไรก็ห้ามแก้มัดให้เด็ดขาดจนกว่าจะพ้นรัศมีเสียงของนางไซเรน (สงสัยจริ๊งว่าถ้าคนอื่นๆมันเอาขี้ผึ้งยัดหูจนไม่ได้ยินเสียงไซเรน แล้วมันจะไปได้ยินเสียงโอดิสซีอุสได้ไงหว่า) แต่ก็เอาเป็นว่า ทั้งโอดิสซีอุสและคนอื่นๆบนเรือก็ล้วนรอดผ่านเกาะของเหล่าไซเรนไปได้อย่าง ปลอดภัย
เหล่านางไซเรนนั้น จะต้องถึงแก่ชีวิตหากมีผู้ใดรอดชีวิตมาได้หลังฟังบทเพลงของนาง เมื่อโอดิสซีอุสสามารถรอดไปได้หลังจากนั้น เหล่านางไซเรนจึงกลายเป็นหินไป นอกจากนางพาร์เธโนเพ ซึ่งโดดลงทะเลด้วยความโกรธ ศพของนางถูกคลื่นซัดมาเกยหาด และมีการก่อสุสานให้นางตรงบริเวณที่ต่อมากลายเป็นเมืองเนเปิลส์
ชื่อ ของเหล่านางไซเรนนั้น เป็นที่มาของคำศัพท์หลายคำ เช่น ไซเรนหรือหวอของรถพยาบาล รถตำรวจ รถดับเพลิงและยังหมายถึงหญิงที่มีเสน่ห์ตรึงใจชายเป็นพิเศษ หรือนักร้องหญิงที่มีเสียงไพเราะมาก หรือเป็นคุณศัพท์ หมายถึง มีเสน่ห์ดึงดูดใจ ทำให้หลงใหล เป็นคำกริยา แปลว่าล่อให้หลง ยั่วยวน และเป็นชื่อปลาชนิดหนึ่งด้วย
                                                                                 syren33

ที่มา http://writer.dek-d.com/78777/story/view.php?id=1044281

กริฟฟอน (griffon)

กริฟฟอน หรือ ฟริฟฟิน มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น กริฟฟินมีชื่อเรียกต่างกันออกไป คือ gryffen, girphinne, greffon, grefyne,grephoun, griffen, griffin, griffion, griffon, griffoun(e), griffown, griffun,griffyn, grifon, grifyn, griphin, griphon, gryffin, gryffon, gryfon, gryfoun(e),gryphen, gryphin, และ gryphon

แต่แบบที่เห็นได้บ่อยในปัจจุบันจะมี 4 แบบคือ griffin ,griffon ,grifonและ gryphonซึ่งในบรรดาสัตว์ทั้งปวง ไม่มีสัตว์ตัวใดที่สูงสง่างามเยี่ยงราชาไปกว่ากรีฟฟิน หรือกริฟฟอน เนื่องจากมันรวมรูปลักษณ์ของสัตว์สูงส่งสองชนิดเข้าด้วยกัน หัวและปีกเป็นนกอินทรี ลำตัวและหางเป็นสิงโตกริฟฟินเป็นสัตว์ที่มีลักษณะรูปร่างหลากหลาย (แต่สิ่งที่เหมือนกันคือตัวสิงโตและหัวเป็นนก) บางแหล่งว่ากรงเล็บเหมือนของนกอินทรี แต่ซีทีเซีย(Ctesias) บอกว่าขาและกรงเล็บของมันคล้ายกับของสิงโต หูยาว กรงเล็บของกริฟฟินมีขนาดเท่ากับเขาวัวหรือเท้านกอินทรีทั้งเท้า ในยุคกรีกภายหลัง กริฟฟินมีรูปทรงเปลี่ยนไป คือมีจะงอยปากงุ้ม หูแหลมและลิ้นแหลม ซีทีเซียเล่าไว้ว่าขนที่หน้าอกของมันเป็นสีแดง ส่วนที่เหลือของลำตัวเป็นสีดำ แต่บางแหล่งว่า ขนตามหลังของมันเป็นสีดำและที่อยู่ข้างหน้าเป็นสีแดง ปีกเป็นสีขาว และคอของมันเป็นลายสลับสีน้ำเงินเข้ม บางแหล่งว่าลำตัวที่เหมือนสิงโตของมันใหญ่กว่าสิงโตแปดเท่าและหัวและปีกของนกอินทรีของมัน แข็งแรงกว่านกอินทรีหนึ่งร้อยเท่า แต่บ้างว่ากริฟฟินสูงกว่าม้าสองฟุต กริฟฟินโด่งดังแพร่หลายไปทั่วโลก อยู่ในวัฒนธรรมต่างๆ โดยเราสามารถหารูปมันได้จากประติกรรมเก่าแก่ ไม่ว่าจะเป็น รูปปั้น กระเบื้องเคลือบหรือตำนานกริฟฟินเป็นสัตว์ที่เป็นหนึ่งในสัตว์เทพนิยายที่อายุเก่าแก่ที่สุด กำเนิดขึ้นมานานตั้งแต่ 5,000 ก่อน โดยปรากฏตัวครั้งแรกในศิลปะของซีเธียนในตะวันออกในบริเวณที่ราบสูงของเมโสโปเตเมีย ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษหลังจากนั้นมันก็เดินทางข้ามแม่น้ำไปไกลถึงไอร์แลนด์และจีน  สัตว์ร้ายทรงพลังตัวนี้เป็นทั้งผู้พิทักษ์และนักไล่ล่าในเวลาเดียวกันในตำนานกรีกโบราณก็มีตำนานของกรีฟฟินเหมือนกัน ชื่อของมันกล่าวขานในหน้าของวรรณกรรม โดยคำว่ากริฟฟินมาจากภาษากรีก ซึ่งมีที่มาจากภาษาพวกฮิตไตต์อีกที ทำให้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่ากรีฟฟินถูกรังสรรค์จากชาวกรีกซึ่งถือว่าผิด เพราะถ้าหากเรามาดูประวัติศาสตร์และเทพนิยายของกรีกอย่างละเอียดแล้ว พบว่าแทบไม่มีการเอ่ยถึงกริฟฟินเลย แต่ที่น่าประหลาดใจคือมันกลับไปปรากฏโฉมในผลงานศิลปะต่างๆ มากมาย ส่วนในเทพนิยายของกรีกบอกเพียงว่า สิงโตมีปีกเหล่านี้คอยราชรถให้กับเทพและเทวีของกรีก เอริสเทียส คือชาวกรีกที่เขียนถึงกริฟฟินครั้งแรก จากการบันทึกเดินทางไปยังทวีปเอเชียสมัยก่อนศตวรรษที่ 7 ที่นั้นมีชนเผ่าหนึ่งเล่าให้เขาฟังว่ามีเทือกเขาที่อุดมไปด้วยทองคำ ถูกเฝ้าโดยสัตว์น่ากลัวและประหลาดตัวหนึ่งซึ่งเอริสเทียสเรียกมันว่า “กริฟฟิน”นักเขียนชาวกรีกอีกหลายคนอย่างเช่นเฮโรโดตัสและซเทเรียส พรรณนาถึงกริฟฟินเช่นกัน แม้ทั้งคู่จะไม่เคยเห็นมันก็ตาม ซเทเซียสเขียนถึงภูเขาที่เต็มไปด้วยฝูงของกริฟฟิน มันเป็นนกที่มสี่เท้า ตัวใหญ่เท่าจิ้งจอก มีขาและอุ้งเท้าเหมือนสิงโต.........ส่วนเฮโรโดตัสบอกถิ่นที่อยู่ของกริฟฟินว่า จากไฮสเซดอนมีชายตาเดียวกับฝูงกริฟฟินตอยเฝ้าขุมทองในเทือกเขาอัลไตและเทียนซานและถิ่นทุรกันดารไกลโพ้นภาพลักษณ์ของกริฟฟินและลักษณะหน้าที่เฝ้าพิทักษ์ทองคำนั้นออกจะคล้ายคลึงกับมัวกร แต่น่ายกย่องมากกว่ามังกรตรงที่มันไม่บ้าเลือดฆ่าคนอื่นก่อนซึ่งมันจะรอดูว่าผู้บุกรุกคนนั้นจะเป็นภัยกับตนหรือทองคำหรือเปล่าก่อนจึงค่อยฆ่านอกจากนั้นยังมีคความเชื่อว่า กรงเล็บของกริฟฟิน เป็นเครื่องรางต่อต้านความชั่วร้าย และโชคร้าย และสามารถตรวจพบพิษได้ ว่ากันว่าถ้ากรงเล็บของมันได้สัมผัสกับพิษจะมีสีคล้ำลง ส่วนขนของมันรักษาอาการตาบอดในขณะเดียวกันกริฟฟินยังปรากฏในตำนานอียิปต์ มันเกี่ยวของกับเทพเจ้าเซ็ธ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับเทพแห่งสุริยะโฮรัส ในอัสสิเรีย ซึ่งกริฟฟินที่ออกมานั้นต่างกับของกรีกคือมันมีนิสัย “โลภจัด”ในด้านลักษณะนิสัยของกริฟฟินซึ่งคนอื่นรู้จักกันดีว่ามันมีความลุ่มหลงทองคำ เมื่อใดที่พูดถึงกริฟฟินก็ต้องพูดถึงทองคำด้วยทุกครั้ง ซึ่งไม่แปลกอะไรเพราะโดยธรรมชาติสัตว์ประเภทนกทั่วไปก็ชอบของที่ประกายระยิบระยิบออกจากทองคำหรือเพชรเมื่อต้องดวงอาทิตย์อยู่แล้ว นอกจากนั้นกริฟฟินยังมีความสามารถในการหาทองคำหรือสมบัติที่ฝังในดินได้อีกด้วยในศตวรรษที่ 8 สตีเฟ่น สคอทัส นักประพันธุ์ไอริชเขียนว่า กริฟฟินเป็นสัตว์ประเภทผัวเดียวเมียเดียว เมื่อมันจับคู่สมรสแล้ว มันจะอยู่กับคู่ของมันตลอดชีวิต หากอีกฝ่ายตายจากก่อนมันจะไม่ยอมไปหาคู่ใหม่เซนต์ ฮิสเดการ์ด แม่ชีชาวเยอรมันในสมัยศตวรรษที่ 12 ได้เขียนการวางไข่ของกริฟฟิน โดยบอกว่ากริฟฟินกำลังตั้งท้องมันจะไปหาที่วางไข่ที่ถ้ำที่มีทางเข้าแคบมาก แต่พื้นที่ภายในกว้างขวาง ไข่ของมันมีขนาดเท่านกกระจอกเทศ(บางตำนานบอกว่าไข่มันเป็นอัญมณี) และมันจะเฝ้าเลี้ยงลูกจนโตแข็งแรงในยุคแรกเริ่มของคริสต์ศาสนา ผู้เชี่ยวชาญของศาสนจักรเหมารวมเรียกกริฟฟินว่า มันเป็นสัตซ์ร้าย จนถูกเปรียบมันว่ามันเป็นเทพเจ้าของคนนอกศาสนา(ซาตาน) โดยเป็นสัญลักษณ์แทนพวกที่ข่มเหงรังแกสาวกพระเยซู แต่ต่อมากริฟฟินก็ได้ยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์เยี่ยงราชันย์ และเป็นสัญลักษณ์ของพระเยซู  อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของพระสันตะปาปาในตำราบางครั้งกริฟฟินก็จัดอยู่ในสัตว์สัญลักษณ์ของความรู้ นอกจากนั้นมันยังเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ และขณะเดียวกันบางตำรามันก็โหดเหี้ยมดุร้าย มันเป็นศัตรูของม้าและคน หากบังเอิญไปพบมันเข้ามันจะฉีกขย้ำร่างมนุษย์เป็นชิ้นๆแต่กระนั้นมันก็รู้จักบุญคุณและซื่อสัตว์เป็นเหมือนกันโดยใครที่ได้ช่วยเหลือในขณะที่มันบาดเจ็บ กริฟฟินจะยกอุ้งเท้าที่สามารถตรวจพิษในเครื่องตื่มได้ให้เป็นการขอบคุณหลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลาย สถาปัตยกรรมของโบสถ์ก็ยังมีรูปของกริฟฟินติดอยู่ตามวัดวา อาราม และทำให้พระที่มาจากตะวันตก ยุโรปสนใจ จึงได้คัดลอกลายนี้ไว้ไปเผยแพร่ด้วย ซึ่งทำให้กริฟฟินเป็นที่รู้จักถึงหมู่เกาะอังกฤษ แคว้นเวลส์และไอร์แลนด์ ซึ่งมีรูปลักษณ์ต่างกันเล็กน้อยต่อมาในศวรรษที่ 12 นักบุญ เบอร์นาร์ด แห่งแคลร์วอกซ์ ได้ทำการปฏิรูปศาสนาคริสต์ตลอดจนวัดอารามทั่วยุโรป อาจเป็นเพราะความเคร่งครัดทำให้กริฟฟินค่อยๆ หายจากโบสถ์มาร์โค โบโล นักสำรวจชาวอิตาลี เคยออกเดินทางไปเมืองจีนเมื่อสมัยศตวรรษที่ 13 เขาอาจเคยเห็นกริฟฟินตัวเป็นๆ แถบเส้นทางสายไหม โดยเขาเล่าว่ามันคล้ายกับนกยักษ์มาดากัสคาร์ในมหาสมุทรอินเดียทีเรียกว่า “รักค์” ซึ่งมันมีขนาดใหญ่มโหฬารเมื่อมาถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา กริฟฟินก็ได้ปรากฏตราประจำตระกูลที่นิยมมากโดยเฉพาะของยุโรป แลบะในเทพนิยายนิยายเด็กโดยเรื่องแรกที่กริฟฟินปรากฏตัวคือ “อลิซ อิน วันเดอร์แลนด์”
                                                                            

ที่มา.http://writer.dek-d.com/78777/story/viewlongc.php?id=1044281&chapter=22

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โปรไฟล์

                                                       
                                                      นางสาว อรชพร ฤทธิสุข
                                                           ชั้น ม.4/7  เลขที่ 39

วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

แบบเสนอหัวข้อการสร้าง Blog

 แบบเสนอหัวข้อการสร้าง Blog รายวิชา ง31101 การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ผู้เสนอ นางสาว อรชพร ฤทธิสุข  ชั้น  ม. 4/7 เลขที่ 39
ชื่อ blog ภาษาไทย   สหราชอาณาจักรอย่าสับสน   ชื่อ blog ภาษาอังกฤษ  goingtoUK
ที่อยู่ blog  beforgoing.blogspot.com
ครูที่ปรึกษา 1.ครูศิวาวุธ  ภาณุพิจารย์  
ที่มาและความสำคัญ
เนื่องจาก ข้าพเจ้ามีความรู้สึกสับสนว่าระหว่างสหราชอาณาจักรและอังกฤษนั้นต่างกันอย่างไร และเนื่องจากข้าพเจ้ารู้สึกชื่นชมผู้คน สถานที่ท่องเที่ยว และนักร้อง จึงเป็นสาเหตุทำให้ข้าพเจ้าอยากรู้เเละเข้าใจในสหราชอาณาจักรมากกว่าที่รู้อยู่ และอยากให้ผู้ที่เคยสับสนระหว่างสหราชอาณาจักรกับอังกฤษนั้น ได้รู้และเข้าใจมากขึ้น

วัตถุประสงค์ของการดำเนินงาน
1. เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาชมได้รู้ว่าสหราชอาณาจักรนั้นคืออะไร และเป็นอย่างไร
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้ชม
3. เพื่อศึกษาการสร้าง blog และเว็บไซต์
ซอฟแวร์ที่ใช้ในการพัฒนา
1.www.bloger.com
2.www.lib.ru.ac.th
3.www.sasommile.com
4.PhotoScape
ขอบเขต
เนื้อหาภายใน Blog จะประกอบไปด้วย ข้อมูลเกี่ยวกับสหราชอาณาจักร โดยมีหัวข้อหลักดังนี้
1. สหราชอาณาจักรกับอังกฤษ ต่างกันอย่างไร
2. เกี่ยวกับ สหราชอาณาจักร
3. ข้อมูลของประเทศใน สหราชอาณาจักร
4. ภาษา
5. สกุลเงิน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. เป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสหราชอาณาจักร
2.ได้รับความรู้ในการสร้างเว็บ
3.ผู้คนได้ความรู้เกี่ยวกับ สหราชอาณาจักร

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ข้อควรระวังในการเดินทางท่องเที่ยวในสหราชอาณาจักร

  1. แม้คนอังกฤษจะได้ชื่อว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ที่สุดชาติหนึ่งของโลก แต่เนื่องจากปัจจุบันนี้มีคนมากหน้าหลายตาเข้าไปทำกินในอังกฤษทำให้นักท่องเที่ยวต้องให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
  2. ในที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ย่านท่องเที่ยวหรือย่านช้อปปิ้ง ควรระวังนักล้วงกระเป๋าหรือวิ่งราว หากเลือกซื้อของหรือลองเสื้อผ้าก็ไม่ควรวางข้าวของสัมภาระทิ้งไว้
  3. ช่วงเวลากลางคืนไม่ควรใส่เครื่องประดับมีค่าและผู้หญิงไม่ควรโดยสารรถไฟใต้ดินแต่ลำพังในยามวิกาล รวมทั้งไม่ควรไปเดินเล่นในสวนสาธารณะที่มีอยู่มากมาย
  4. การพกพาอาวุธเพื่อป้องกันตัว อาทิ มีด ปืนไฟฟ้า หรือปืนพกเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ก่อนที่จะเจอผู้ร้ายคนพกอาจถูกจับเสียเองก่อน และโทษก็สูงมากด้วย
  5. ร้านค้าโดยเฉพาะร้านขายของที่ระลึกและร้านขายอาหารในแหล่งท่องเที่ยวบางร้าน อาจโก่งราคาจนเกินจริง ควรเลือกร้านที่มีเมนูพร้อมราคาติดไว้ที่หน้าร้าน แม้แต่น้ำอัดลมแบบกระป๋องก็อาจมีการถูกโก่งราคาได้ ควรสอบถามราคาให้ แน่ใจเสียก่อน หรือซื้อจากร้านที่ติดราคาแน่นอน เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตหรือคอนวีเนียนสโตร์
  6. หากเกิดเหตุฉุกเฉินใดๆ ควรรีบแจ้งตำรวจ ซึ่งมีรักษาการณ์อยู่ให้เห็นทุกหนแห่งทั้งตำรวจเดินเท้าและตำรวจขี่ม้าโดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวช้อปปิ้งที่มีคนพลุกพล่านนั้น มีตำรวจเดินตรวจตราอยู่ตลอดเวลา





อ้างอิง   www.visionuk.net 

ิ่สิ่งที่ควรทำ หรือไม่ควรทำในสหราชอาณาจักร

  1. ควรกล่าวคำนำหน้าชื่อ เช่น มิสเตอร์ มิส มิสซิส ทุกครั้งเพื่อเป็นการให้เกียรติคนอังกฤษที่เราเพิ่งรู้จัก
  2. หากพบเห็นพวกพั้งค์หรือวัยรุ่นที่แต่งกายแปลกประหลาด อย่าถ่ายรูป พวกเขาโดยพลการ อาจเกิดเรื่องราวขึ้นได้
  3. คนอังกฤษรักสัตว์มาก โดยเฉพาะสุนัขและม้า ดังนั้นอย่าเผลอแสดงเอ็นดูอย่างรุนแรงกับสัตว์ มิฉะนั้นอาจถูกพลเมืองดีแจ้งตำรวจจับได้โดยง่าย
  4. ชาวอังกฤษไม่นิยมส่งเสียงดัง และต้องเข้าคิวเสมอไม่ว่าจะเป็นการซื้อตั๋วรถไฟ การซื้ออาหาร การขึ้นรถประจำทาง หรืออื่นๆ การแซงคิวถือเป็นมารยาทที่ไม่สุภาพ
  5. ควรกล่าวคำสุภาพ Please / Sorry และ Thank you เสมอทุกครั้งที่มีโอกาสและเป็นสิ่งจำเป็น
  6. การยืนขวางทางเป็นการไม่สุภาพเช่นกัน หากต้องการพูดคุยกัน ไม่ควรยืนขวางทางบริเวณประตูทางเข้าออก หรือบริเวณทางเท้าที่ขวางทางสัญจร
  7. หากนักเรียนใช้บริการ Tube หรือ Underground ใน Londonเมื่อจะขึ้นลงบันไดเลื่อน ถ้าต้องการยืน (โดยไม่เดินบันไดขึ้นด้วยตนเอง) “ยืนด้านขวา“ (Stand on the Right) ด้านซ้ายจะใช้เฉพาะผู้ที่รีบ และต้องการเดิน ทั้งขึ้นหรือลงบันได



อ้างอิง  www.visionuk.net